การที่บรรยากาศภายในบ้านจะสวย ดูดี ลงตัวได้นั้นมีเคล็ดลับซ่อนอยู่
หนึ่งในนั้นก็คือ เรื่องของ ‘การใช้สี’ และ ‘การจับคู่สี’ ให้คุมโทนทั้งในส่วนของผนังและเฟอร์นิเจอร์นั้นเอง
ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเลือกสีที่ชอบ ควรต้องพิจารณาถึงแสงสว่างภายในบ้านและขนาดพื้นที่เสียก่อน เช่น หากบริเวณบ้านของคุณเป็นส่วนที่ไม่ค่อยได้รับแสง การใช้โทนสีเข้มจะทำให้บรรยากาศภายในบ้านอุดอู้ ดังนั้นควรเลือกสีที่ช่วยเพิ่มความสว่างอย่าง สีขาว หรือเบส แต่หากห้องดูโล่งจนเกินไป การใช้โทนสีเข้ม เช่น สีเทาเข้ม สีน้ำตาล ก็จะเพิ่มความลงตัวให้บ้านของคุณได้มากขึ้น
เมื่อคำนึงถึงแสงสว่างและขนาดพื้นที่กันแล้ว อีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออารมณ์ของผู้อยู่อาศัยเป็นอย่างมากคือ การจับคู่สี และอัตราส่วนการใช้สีที่เหมาะสม โดยวันนี้เราได้นำ 4 ทฤษฎีโทนสีที่ไม่ว่าใครก็นำไปประยุกค์ใช้ได้ ตั้งแต่เจ้าของบ้านมือใหม่ไปจนถึงนักออกแบบบ้านมืออาชีพ ที่จะช่วยเพิ่มลูกเล่นให้ห้องของคุณน่าอยู่มาฝากกันค่ะ
ทฤษฎีที่ 1: 60-30-10
สีหลัก 60% (Dominant color) ควรใช้โทนสีอ่อน เช่น ผนัง พื้น ผ้าปูพื้นผืนใหญ่ เฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่
สีรอง 30% (Secondary color) ควรใช้โทนสีกลางที่ไม่โดดไปจากโทนสีหลักมากนัก เป็นสีที่ช่วยสร้างมิติให้กับตัวห้อง เช่น ผ้าม่าน พรม
สีไฮไลท์ 10% (Accent) เป็นสีที่จะช่วยให้ห้องโดดเด่น สามารถใช้เป็นสีเข้ม หรือสีที่ฉูดฉาดได้ โดยให้เน้นไปในส่วนของเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเล็ก เช่น หมอนอิง พรม กรอบรูป
ทฤษฎีที่ 2: คู่สีตรงข้าม (Complementary Colors)
สำหรับใครที่อยากให้ห้องดูมีชีวิตชีวา การใช้สีที่ตัดกันสองสีมาตกแต่งห้องก็เป็นอีกเทคนิคที่สามารถทำได้ โดยกำหนดสัดส่วนของสีให้มีความเหลื่อมกันเล็กน้อย เช่น 80-20 หรือ 70-30 ก็จะดูลงตัวกว่าแบบ 50-50
ทฤษฎีที่ 3: สีเดียว (Monotone) จะเรียกว่าการตกแต่งบ้านสไตล์ญี่ปุ่นก็ย่อมได้ เป็นการใช้สีมาตกแต่งห้อง โดยเล่นกับความเข้ม อ่อนของสี
ทฤษฎีที่ 4: สีขาว-ดำ (Black and White) คู่สีสุดคลาสสิกที่อยู่มาทุกยุคทุกสมัย สามารถนำไปประยุกต์ให้เข้ากับสไตล์บ้านที่หลากหลายได้ทั้ง Modern Contemporary
#ColorTheory #EnrichLiving